บทความ ความรู้พื้นฐาน Forex
บทความ ความรู้พื้นฐาน Forex : นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับโบรกเกอร์ Forex แล้ว เรายังเขียนบทความเกี่ยวกับความรู้พื้นฐาน Forex ไว้ให้ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในตลาด Forex ได้ศึกษากันด้วย เพื่อช่วยให้มือใหม่ได้เริ่มต้นได้ถูกทาง โดยผมจะแบ่งเป็นตอนๆ เริ่มต้นกันตั้งแต่ศูนย์กันเลย ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ผมยกมาจากบทความที่ผมเองเคยเขียนไว้ใน Blog เดิม https://startupforexforbeginner.blogspot.com อาจมีการปรับแก้เนื้อหาบางส่วนไปบ้างเล็กน้อยตามสมควร
เรามาเริ่มต้นเรียนรู้กันได้เลย
EP.01 : วิธีคิด Mindset ในการลงทุน สำหรับผู้เริ่มต้น
สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนในตลาด Forex ให้ฟังก่อนนะครับ ซึ่งเรื่องนั้นก็ คือ ” วิธีคิด Mindset ในการลงทุน “ เรื่องนี้สำคัญมากๆ จริงๆ นะครับ ย้ำว่าสำคัญมากๆ เพราะคุณจะเริ่มต้นเดิน “ถูกทาง” หรือ “หลงทาง” อยู่ที่เรื่องนี้เลย
และ Mindset แรกที่มือใหม่ควรให้ความสำคัญก่อนเริ่มต้นลงทุนก็ คือ ” ตั้งเป้าหมายให้ถูกต้อง “ ซะก่อน
ข้อผิดพลาดในการตั้งเป้าหมาย ที่มือใหม่หลายคนมักทำกันนั้นก็คือ ให้ความสำคัญไปกับ ” การทำกำไร ” เป็นหลัก จึงพยายามมุ่งเน้นไปที่การมองหาระบบที่จะช่วยให้ตัวเองทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยละเลยสิ่งที่สำคัญกว่านั่นก็คือ ” อยู่รอดในตลาดให้ได้ “ ก่อน อ่านต่อคลิ๊ก
EP.02 สิ่งที่จะทำให้อยู่รอดในตลาด Forex
สิ่งที่จะทำให้อยู่รอดในตลาด Forex : หลังจากที่คุณได้รู้แล้วว่าเป้าหมายแรกที่คุณควรโฟกัสคือ ” การอยู่รอดในตลาดให้ได้ “ บางคนอาจมีคำถามขึ้นมาในหัวว่า แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้อยู่รอดในตลาดได้?
สิ่งที่จะทำให้คุณอยู่รอดในตลาดได้นั้นก็คือ Money Management เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจำเป็นต้องใช้มันทุกครั้งที่คุณเปิดสถานะออเดอร์ มันทำให้คุณรู้ว่าหากการตัดสินใจของคุณในครั้งนั้นผิดคุณจะสูญเสียเงินไปเท่าไหร่? เงินจำนวนนั้นเป็นไปตามแผนที่คุณรับได้หรือไม่? และหากคุณตัดสินใจถูกกำไรที่คุณจะได้รับในครั้งนั้นมันคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่?
หากคำตอบคือ “ใช่” ก็ลุยได้เลย แต่หากคำตอบคือ “ไม่” ก็อย่าพึ่งลงมือทำอะไรทั้งสิ้น
เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าการเปิดสถานะออเดอร์ในครั้งนั้นของคุณ คุณจะเสียเงินเท่าไหร่ แล้วการตัดสินใจในครั้งนั้นมันผิด ความเสียหายครั้งใหญ่อาจเกิดขึ้นกับเงินของคุณก็ได้ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.03 องค์ประกอบ ความสำเร็จในการเทรด
ผมจะขอพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจในการเทรดเลยก็ว่าได้ สิ่งนั้นก็คือ “วินัยในการเทรด”
จากรูปประกอบด้านล่าง คุณจะเห็นว่าองค์ประกอบความสำเร็จในการเทรดมี 3 ส่วนด้วยกัน คือ
- ระบบเทรด หรือ เทคนิคในการเทรด
- การบริหารจัดการความเสี่ยง
- วินัยในการเทรด
มือใหม่หลายๆคนที่เพิ่งเข้ามาในตลาด พยายามวิ่งตามหา “ระบบเทรดเทพๆ” หรือ “เทคนิคเจ๋งๆ” เป็นอันดับแรกๆ (ผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน) โดยอาจไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพยายามตามหาอยู่นั้น มันมีความสำคัญเพียง 15% เท่านั้นเอง สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ “การบริหารจัดการความเสี่ยง” มีความสำคัญถึง 35% และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ “วินัยในการเทรด” มีความสำคัญมากถึง 50% ของทั้งหมด อ่านต่อคลิ๊ก
EP.04 ตัดสิ่งเหล่านี้ได้ พอร์ตคุณโตได้ไม่ยาก
หัวข้อที่ผมจะพูดถึงในตอนนี้ก็คือ “พฤติกรรม หรือ อารมณ์ที่ควรตัดออกให้ได้” ซึ่งจะเชื่อมโยงกับตอนที่แล้วในเรื่อง “วินัยในการเทรด”
วินัยในการเทรด เป็นเรื่องของพฤติกรรมและอารมณ์ล้วนๆ หากคุณสามารถตัดเรื่องทั้งหมดที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ออกได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเทคนิคอะไรมากมาย พอร์ตของคุณก็จะโตได้ไม่ยากเลย
“พฤติกรรม หรือ อารมณ์” ที่คุณควรจะตัดมันออกให้ได้มีดังนี้
Greed (ความโลภ) : โลภอ่ะได้นะ แต่ถ้ามากเกินไปจะนำพาคุณไปสู่การ Overtrading
Overtrading (ใช้ความเสี่ยงสูง) : หัวข้อนี้คงไม่ต้องขยายความ เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจความหมายดีอยู่แล้วนะครับ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.05 ค้นหาตัวเองให้เจอ
การ “ค้นหาตัวเองให้เจอ” คืออะไร?
มันเป็นการสำรวจนิสัยใจคอของตัวเอง เพื่อหาว่านิสัยและวิธีคิดที่คุณเป็น คุณเหมาะกับสไตล์การเทรดแบบไหนมากที่สุด นั่นก็คือ การหาว่า “คุณเหมาะที่จะเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน?” เพราะหากคุณพยายามใช้ระบบเทรดที่ไม่เหมาะกับนิสัยของคุณเอง มันเหมือนการที่คุณทำอะไรที่ขัดแย้งกับนิสัยของคุณ คุณอาจจะทนทำตามระบบนั้นได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน และตามหาระบบเทรดใหม่วนไปเรื่อยๆ
เพื่อไม่ให้คุณเสียเวลาไปกับการเดินผิดทาง คุณควรสำรวจตัวเองก่อนว่า “คุณเหมาะที่จะเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน?” แล้วค่อยไปโฟกัสกับการเรียนรู้ ฝึกฝน ระบบที่เหมาะกับตัวคุณเอง อ่านต่อคลิ๊ก
EP.06 เทรดเดอร์ 5 ประเภท
เราได้แบ่งประเภทเทรดเดอร์ออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่
- เทรดเดอร์ระยะสั้น
- เทรดเดอร์รายวัน
- เทรดเดอร์ระยะกลาง
- เทรดเดอร์ระยะยาว
- เทรดเดอร์ตามระบบ
มาดูกันว่าแต่ละประเภทเป็นอย่างไรกันบ้าง
เทรดเดอร์ระยะสั้น : ชอบทำกำไรอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะเข้าและออกจำนวนหลายครั้งในแต่ละวัน จะเก็บกำไรครั้งละนิดหน่อยด้วยระยะสั้นๆ มักใช้กรอบเวลา 1 นาที และ 5 นาทีเป็นส่วนใหญ่
มักอุทิศเวลาให้กับการเฝ้ากราฟประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงในการเทรดแต่ละครั้ง เพราะต้องตอบสนองการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างรวดเร็ว และต้องคิดเร็วทำเร็วสามารถเปลี่ยนทิศทางการเทรดได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อ่านต่อคลิ๊ก
EP.07 Forex คืออะไร
Forex ย่อมาจากคำว่า Foreign Exchange มันคือ ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
แล้วอะไรบ้างล่ะที่เป็น Forex?
ผมขอยกตัวอย่างเล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นนะครับ ตัวอย่างเช่น คุณจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น และคุณนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินเยน เพื่อใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในตลาด Forex
หรือ ธุรกิจนำเข้าส่งออกระหว่างไทย-อเมริกา ซึ่งจะต้องใช้สกุลเงินดอลลาร์ ในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ก็เป็นส่วนหนึ่งในตลาด Forex
หรือ การที่ธนาคารกลางเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและสกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงซื้อสกุลเงินของประเทศนั้นถือครองไว้และขายออกไป เพื่อเก็งกำไร นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในตลาด Forex
รวมถึงการเทรดเพื่อเก็งกำไรของ “กองทุน” หรือ “นักลงทุนรายย่อย” ก็เช่นกัน ทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นนะครับ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.08 เวลาทำการตลาด Forex
ตลาด Forex เปิดทำการ จันทร์-ศุกร์ 24 ชั่วโมง และปิดทำการ เสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุดราชการ
โดยตลาดของประเทศแรกที่เปิดทำการในแต่ละสัปดาห์ คือ
ตลาดซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เปิดทำการ 5:00-12:00 ตามเวลาบ้านเรา
และตามมาด้วย ตลาดโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 6:00-14:00
ช่วงบ่ายเป็นเวลาของ ตลาดยุโรป 13:00-22:00
ซึ่งตามมาติดๆ ก็จะเป็น ตลาดลอนดอน ประเทศอังกฤษ 14:00-22:00
และช่วงค่ำเป็นคิวของ ตลาดนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา 19:00-3:00 อ่านต่อคลิ๊ก
EP.09 ข้อดี ข้อควรระวัง ตลาด Forex
เริ่มกันที่ ข้อดี ก่อนเลย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
- มี สภาพคล่อง มากที่สุดในโลก : เพราะมีคนซื้อขายจำนวนมากจากทั่วโลก ทำให้ปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบอื่นๆ
- เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง : ยกเว้นเสาร์ – อาทิตย์ และ วันหยุดราชการ ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกช่วงเวลาในการเทรดให้เหมาะสมกับสไตล์การใช้ชีวิตของตัวเองได้
- ซื้อขาย ออนไลน์ ได้ทุกที่ทั่วโลก : ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลก ขอแค่มีอินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถเทรด Forex ได้แล้ว
- ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง : สามารถเก็งกำไรได้ทั้งสองฝั่ง ซึ่งต่างจากหุ้น (Stock) ปกติทั่วไป ที่ส่วนใหญ่แล้วจะทำกำไรได้เฉพาะขาขึ้นเพียงฝั่งเดียว
- ใช้เงินลงทุนต่ำ : แต่สามารถทำกำไรได้สูงด้วย Leverage ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงได้ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.10 ผู้เล่นในตลาดมีใครบ้าง
การเทรด Forex ก็เปรียบเสมือนกับการเล่นเกมส์ๆหนึ่ง ซึ่งก่อนเล่นเราก็ควรศึกษาว่า มีตัวละคร หรือ ผู้เล่นไหนในเกมส์นี้บ้าง? ผู้เล่นคนไหนมีบทบาทสำคัญในเกมส์นั้นอย่างไร?
ในตลาด Forex จะมีผู้เล่นหลักอยู่ 6 ผู้เล่นดังนี้
1. ธนาคารกลาง : เป้าหมายหลักของธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการตรวจสอบ “ภาวะเงินเฟ้อ”
ภาวะเงินเฟ้อ คือ ภาวะของราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น หากธนาคารกลางไม่แก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างเร่งด่วน อาจทำให้อำนาจในการซื้อลดลง
ธนาคารกลางจากควบคุมภาวะเงินเฟ้อด้วย 3 วิธี
- ควบคุมอัตราดอกเบี้ย โดยการปรับขึ้น หรือปรับลด ตามสถานการณ์
- เข้าแทรกแซงโดยการซื้อ หรือขายสกุลเงิน
- ควบคุมอัตราส่วนทรัพย์สินสภาพคล่อง อ่านต่อคลิ๊ก
EP.11 สกุลเงินที่นิยมซื้อขาย
สกุลเงินหลักๆที่นิยมซื้อขายกันมากที่สุดนั้นมี 8 สกุลเงิน ดังนี้
- USD (ดอลลาร์สหรัฐ)
- EUR (ยูโร)
- JPY (เยนญี่ปุ่น)
- GBP (ปอนด์อังกฤษ)
- AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย)
- CHF (ฟรังก์สวิส)
- CAD (ดอลลาร์แคนาดา)
- NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์) อ่านต่อคลิ๊ก
EP.12 ศัพท์ Forex เบื้องต้น ที่ควรรู้
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยครับ ว่ามีคำศัพท์อะไรบ้าง ที่ควรรู้ในช่วงเริ่มต้น
Lot : หรือ Lot Size คือ ขนาดของคำสั่งที่ใช้ในการเปิดออเดอร์
ในตลาด Forex สามารถเปิดออเดอร์ด้วยขนาดของคำสั่งได้ 2 แบบ คือ Lot และ Unit
โดยส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์มักจะรู้จักและคุ้นเคยกับ Lot มากกว่า Unit เพราะวิธีคิดคำนวณมันง่ายกว่า จึงเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันมากกว่า Unit นั่นเอง อ่านต่อคลิ๊ก
EP.13 กำไร ขาดทุน Forex มาจากไหน
จากที่ผมเคยได้บอกไปใน EP.09 ในหัวข้อ ข้อดี ข้อควรระวัง ตลาด Forex แล้วว่า ตลาด Forex สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
แต่สำหรับมือใหม่บางคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการเทรดมาก่อน อาจจะยังนึกภาพไม่ออก หรือมีข้อสงสัย ว่ามันจะทำกำไรกันแบบไหน แล้วกำไร ขาดทุน มันมาจากไหน เรามาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันเลยครับ
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของราคาในตลาดกันก่อน อ่านต่อคลิ๊ก
EP.14 Pip และ Point คืออะไร
มันหน่วยในการเคลื่อนตัวของค่าเงินที่ เรียกกันว่า “Pip” และ “Point” ซึ่งโดยส่วนมากแล้วหลายๆเนื้อหา หรือ หลายคอร์สที่สอนพื้นฐาน Forex มักจะสอนแต่เรื่อง Pip กัน และผมเองยังเคยเจอว่าบางคนที่เปิดคอร์สสอน ยังใช้คำว่า Pip ผิดอยู่ก็มี อาจทำให้หลายๆคนสับสนได้ว่าสรุปอันไหนคือ Pip อันไหน คือ Point กันแน่
เรามาดูที่คำว่า Pip ก่อนนะครับ Pip มาจากศัพท์อังกฤษว่า “Percentage in Pionts” หรือ บางตำราก็ให้นิยามคำศัพท์อังกฤษว่า “Price interest Point”
ไม่ว่าจะมาจากศัพท์อังกฤษว่าอย่างไร มันคงไม่สำคัญกับเรามากนักหรอก ที่สำคัญ คือ เราเข้าใจความหมายของมันก็พอ ซึ่งความหมายของมันก็คือ “จุดทศนิยมตัวสุดท้ายซึ่งถูกอ้างอิงจากราคาปัจจุบันของตลาด” อ่านต่อคลิ๊ก
EP.15 ขนาด Lot ของบัญชีแต่ละประเภท
หลังจากที่เราได้รู้เรื่องของ “Pip” และ “Point” ไปแล้ว ต่อไปเรามาเรียนรู้เกี่ยวกับ “ขนาดของ Lot” ของบัญชีแต่ละประเภทกันต่อ เพื่อจะได้นำไปใช้ในการคำนวณกำไรขาดทุนเป็นจำนวนเงินกันต่อในตอนต่อไป
หลังจากที่เราได้รู้ไปแล้วว่าในตลาด Forex เรากำหนดขนาดสัญญาที่ใช้เปิดออเดอร์เป็น Lot เรามาดูกันก่อนว่า Lot มีกี่ประเภท?
โบรกเกอร์ Forex ในปัจจุบันให้บริการขนาดของ Lot ถึง 4 ประเภท ได้แก่ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.16 กำไร ขาดทุน คำนวณเป็นจำนวนเงิน ยังไง
หลังจากที่ได้รู้ขนาดของ Lot แต่ละประเภทไปแล้ว เรามาดูกันว่า ขนาดของ Lot แต่ละประเภทเมื่อเทียบต่อการเคลื่อนที่ของราคาทุก 1 Pip คิดเป็นเงินกี่ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
Standard Lot : 1 Lot ถ้าราคาเคลื่อนที่ทุก 1 Pip จะกำไรขาดทุน 10 ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
Mini Lot : 1 Lot ถ้าราคาเคลื่อนที่ทุก 1 Pip จะกำไรขาดทุน 1 ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
Micro Lot : 1 Lot ถ้าราคาเคลื่อนที่ทุก 1 Pip จะกำไรขาดทุน 0.1 ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
Nano Lot : 1 Lot ถ้าราคาเคลื่อนที่ทุก 1 Pip จากกำไรขาดทุน 0.01 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่านต่อคลิ๊ก
EP.17 Leverage กับ Margin
หลังจากที่เราได้รู้วิธีคำนวณเงินกันไปแล้ว ในตอนนี้เรามาดูในเรื่องของ “Leverage” กับ “Margin” กันครับ เพราะเรื่องนี้จะทำให้คุณรู้ว่า จะต้องใช้เงินเท่าไหร่จากขนาด Lot ที่คุณกำลังใช้เปิดออเดอร์
มาดูความหมายกันก่อนว่ามันคืออะไรกันบ้าง
Leverage : คือ ระบบยืมเงินจากโบรกเกอร์มาเทรด หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือการที่โบรกเกอร์ให้เครดิตเราเพื่อใช้ในการเทรดนั่นเอง
Margin : คือ เงินที่ต้องใช้เป็นประกันในการเปิดออเดอร์ ซึ่งเราจะใช้ Margin มาก หรือ น้อยขึ้นอยู่กับขนาดของ Lot และ Leverage ที่เราเลือกใช้ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.18 วิธี เลือกโบรกเกอร์ Forex
Broker Forex Review ได้รวม 8 วิธี เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุด สำหรับมือใหม่ ที่กำลังศึกษาข้อมูลเพื่อตัดสินใจ เลือกโบรกเกอร์ Forex บางท่านอาจจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะต้องใช้หลักการพิจารณายังไง? ไม่รู้ว่าจะต้องพิจารณาเรื่องไหนบ้าง? เนื่องจากปัจจุบัน โบรกเกอร์ Forex ที่เข้ามาทำตลาดในไทย เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เยอะจนไม่รู้จะเลือกรายไหนดี จึงกำลังมองหาแนวทาง เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ Forex
ผู้อ่านลองนำแนวทางง่ายๆ ทั้ง 8 วิธีนี้ ไปใช้ประกอบการพิจารณา เลือกโบรกเกอร์ ที่ดีที่สุด อย่างมืออาชีพกันดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ ท่านได้พอสมควร 8 วิธี มีอะไรบ้างไปดูกันครับ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.19 แพลตฟอร์ม ที่ใช้เทรด Forex
หลังจากที่เราเลือกโบรกเกอร์ และทำการเปิดบัญชีกันไปแล้ว ส่วนต่อไปมาทำความรู้จักกับ Platform ที่ใช้ในการเทรด Forex กันครับ
แพลตฟอร์มเทรด เป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ใช้ได้ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต ที่รันด้วยระบบปฏิบัติการ OSX, Android, Linux หรือ Windows และแพลตฟอร์มของหลายแบรนด์ก็ยังสร้างโดยใช้ HTML หรือ Java หมายความว่า คุณเพียงแค่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ก็สร้างใช้แพลตฟอร์มเทรดได้แล้ว อ่านต่อคลิ๊ก
EP.20-21 เมนูหลักๆ ของ MT4
มาทำความรู้จักเมนูหลักๆของ MT4 ที่เราใช้งานกันบ่อย ซึ่งเมนูต่างๆเราสามารถเรียกใช้งานได้หลายทางแล้วแต่ว่าใครจะถนัดแบบไหน ผมจะอธิบายที่สำคัญหลักๆกันก่อนนะครับ เพราะถ้าจะให้อธิบายทั้งหมดทุกเมนู คิดว่ามือใหม่คงจะงงและจำกันไม่หมดแน่ๆ
เรามาดูเมนูที่เป็นรูป icon ด้านบนกันก่อนนะครับ
icon แรกทางด้านซ้ายสุด “Create New Chart” เป็นเมนูที่ใช้เปิดหน้าต่างกราฟของคู่เงินนั้นๆขึ้นมา ใครถนัดใช้ตรงนี้ก็ใช้ได้เลย ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้เปิดกราฟจาก icon ตรงนี้เท่าไหร่ อ่าน Part1 ที่นี่คลิ๊ก อ่าน Part2 ที่นี่คลิ๊ก
EP.22 Market Watch และ Navigator ใช้ทำอะไร
เรามาดูกันต่อในเรื่องของการใช้งาน MT4 ในส่วนของหน้าต่าง “Market Watch” จะแสดง “สัญลักษณ์” ของคู่เงิน หรือ สินค้า (Symbol) และ “ราคา” Bid Ask
หากในหน้าเริ่มต้นไม่มีคู่เงินที่เราต้องการจะดูราคา เราสามารถเรียกขึ้นมาเพิ่มในหน้านี้ได้
โดยทำการคลิ๊กขวาตรงคู่เงินใดก็ได้ในหน้าต่างนี้ แล้วเลือก “Symbol” อ่านต่อคลิ๊ก
EP.23 รูปแบบกราฟ ทั้ง 3 แบบ
ในตอนนี้เรามาดูประเภทของกราฟทั้ง 3 รูปแบบ ที่ MT4 มีให้เราได้เลือกใช้งาน แต่ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับกราฟแต่ละรูปแบบนั้น เรามารู้จักองค์ประกอบของราคากันก่อน
องค์ประกอบของราคาใน 1 แท่ง มี 4 ส่วน คือ
- ราคาเปิด (Open)
- ราคาสูงสุด (High)
- ราคาต่ำสุด (Low)
- ราคาปิด (Close)
โดยมีตัวย่อ O H L C ตามลำดับ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.24 ประเภทคำสั่ง และ การเปิดออเดอร์ MT4
เรามาดูกันที่ประเภทคำสั่งกันก่อนครับ ว่ามีแบบไหนบ้าง และแต่ละแบบนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง
คำสั่งที่ใช้ในการเปิดออเดอร์ทั้งหมดจะมี 6 คำสั่ง โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก
Market Execution (ราคาตลาด) : เป็นการเปิดออเดอร์ด้วยราคาตลาด ณ เวลานั้นๆ มี 2 คำสั่ง
Pending Order (คำสั่งล่วงหน้า) : เป็นการส่งคำสั่งล่วงหน้า ด้วยการกำหนดราคาที่เราต้องการจะเปิดออเดอร์ มี 4 คำสั่ง อ่านต่อคลิ๊ก
EP.25 วิธี Modify และ Close Order MT4
หลังจากที่เรารู้วิธีใช้คำสั่งเปิดออเดอร์กันไปแล้ว ในตอนนี้เรามาดูวิธี “Modify Order” และ “Close Order” MT4 กันต่อครับ วิธีการมีดังนี้
ตรงแถบ Teminal จะมีออเดอร์ที่เราเปิดอยู่ ให้ทำการ “คลิ๊กขวา” ตรงออเดอร์ที่ต้องการ Modify แล้วเลือก “Modify or Delete Order”
จะมีหน้าต่างของ Order นั้นขึ้นมา ตรงหัวข้อ “Type” ที่เลือก “Modify Order” ไว้จะเป็นการ Modify Order โดยสามารถคีย์ราคา Stop loss ในช่อง Stop Loss และคีย์ราคา Take Profit ในช่อง Take Profit อ่านต่อคลิ๊ก
EP.26 Money Management กับกฏ 1%
หลังจากที่เราได้เรียนรู้พื้นฐาน Forex และการใช้ MT4 เบื้องต้นกันไป ก่อนไปที่เรื่องเทคนิคการวิเคราะห์กราฟ เรามาดูเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องนี้ก่อนครับ นั่นก็คือ “Money Management”
ถ้ายังจำรูป “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่ผมพูดในตอนที่ 3 กันได้ เรื่อง “Money Management” มีความสำคัญมากกว่าเทคนิคหรือระบบเทรดเสียอีกจริงมั๊ยครับ ดังนั้นผมจะหยิบมันมาพูดถึงก่อนที่ไปเรื่องเทคนิคการวิเคราะห์กราฟ
“Money Management” ไม่ว่าจะเรียกเป็นภาษาไทยว่า “การบริหารจัดการเงิน” หรือ “การบริหารจัดการความเสี่ยง” มันก็คือเรื่องเดียวกัน อ่านต่อคลิ๊ก
EP.27 Money Management วิธีคำนวณ Lot อย่างง่าย
เมื่อเรารู้แล้วว่าควรใช้ความเสี่ยงเท่าไหร่ดี คำถามต่อมาคือ “แล้วเราจะคำนวณขนาด Lots อย่างไร?” เพื่อให้อยู่ในความเสี่ยงที่เราต้องการ
จากที่ผมได้อธิบายวิธีคำนวณกำไรขาดทุนใน EP16 ไปแล้ว เราจะนำสมการนั้นแหละครับมาใช้ในการคำนวณ ด้วยการย้ายข้างในสมการนั้นแทน
โดยสูตรง่ายๆที่ใช้ได้จริง ที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ คือ (จำนวนเงินที่ใช้เสี่ยง / ระยะตัดขาดทุน) = Lots
เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ ผมขอยกตัวอย่าง การคำนวณกับบัญชีประเภท Standard Lot ก่อนนะครับ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.28 Risk Reward Ratio คืออะไร
ในตอนนี้เรามาทำความรู้จักกับ “Risk Reward Ratio” ว่ามันคืออะไร? แล้วมีความสำคัญยังไงต่อการเทรด?
เรามาดูที่ความหมายของมันกันก่อนนะครับ “Risk Reward Ratio” คือ “อัตราส่วนผลตอบแทน ต่อ ความเสี่ยง”
โดยที่ “Risk” คือ สัดส่วนความเสี่ยงที่เราจะ “เสียหรือขาดทุน” ในแต่ละครั้งที่เทรด
และ “Reward” คือ สัดส่วนที่เราจะ “ได้กลับคืนหรือกำไร” ในแต่ละครั้งที่เทรด
“Risk Reward Ratio” มักใช้ตัวย่อสั้นๆว่า “R:R”
สิ่งนี้เองที่จะทำให้เรารู้ว่า “เวลาเสียเราจะเสียเท่าไหร่ และ เวลาได้เราจะได้เท่าไหร่” อ่านต่อคลิ๊ก
EP29. แนวโน้มราคา Trend
หลังจากที่เราได้รู้วิธีใช้ MT4 ในการเทรด และได้รู้เกี่ยวกับเรื่องการบริหารเงินกันไปบ้างแล้ว ทีนี้เรามาดูเกี่ยวกับ “เทคนิคในการเทรด” กันบ้าง โดยผมจะเน้นไปที่พื้นฐานที่สำคัญหลักๆกันก่อนนะครับ
อยากจะบอกว่าพื้นฐานมีความสำคัญมากต่อการสร้างความเข้าใจในการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค ทฤษฎีและเครื่องมือทางเทคนิคทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น แนวรับแนวต้าน รูปแบบราคา เส้นค่าเฉลี่ยราคา หรือแม้แต่เส้นแนวโน้ม ต่างก็ถูกคิดค้นขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เดียวกันนั่นก็คือ “ใช้สำหรับหาแนวโน้มในตลาด” เพื่อให้เราสามทรถเทรดไปในทิศทางเดียวกับตามแนวโน้มตลาดได้ง่ายขึ้น
ซึ่งหลักการนี้เหมือนดังคำพูดที่ว่า “Trend is your friend” (แนวโน้มตลาดคือเพื่อนที่ดีที่สุด) อ่านต่อคลิ๊ก
EP.30 ทฤษฎีดาว Dow Theory
ทฤษฎีดาว Dow Theory : ตอนนี้เราพอจะรู้กันไปแล้วว่า สิ่งสำคัญในการเทรด คือ เราจำเป็นต้อง “ดูเทรนให้ออก” และในตอนนี้เราจะมาดูกันว่า “เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์เทรน” (Trend Analysis) มีอะไรอะไรกันบ้าง
“เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์เทรน” หลักๆจะมีอยู่ 3 ประเภท คือ
- Price Pattern
- Trend Line
- Indicator
ในตอนนี้ผมจะขอพูดถึง “Price Pattern” กันก่อนนะครับ
Price Pattern คือ รูปแบบของราคาที่ก่อตัวขึ้นจากราคาในอดีตและเกิดขึ้นซํ้าๆจน กลายเป็นรูปแบบต่างๆของราคา
ซึ่งถ้าพูดถึง Price Pattern แล้ว ทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นก็คือ “ทฤษฎีดาว” Dow Theory อ่านต่อคลิ๊ก
EP.31 Trend Line เส้นแนวโน้ม
Trend Line หรือ เส้นแนวโน้ม : เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้การลากเส้นเพื่อหาแนวโน้มของราคา เพื่อหา แนวรับ (Support) แนวต้าน (Resistance) ถือว่าเป็นเทคนิคที่ง่าย และ Basic ที่มีประสิทธิภาพเทคนิคหนึ่งในการวิเคราะห์ด้วยกราฟเลยก็ว่าได้
เชื่อมั๊ยครับว่าคำถามเกี่ยวกับ Trend Line ที่ถามกันบ่อยนั้น ก็คือ “ลากเส้นแบบนี้ถูกมั๊ย?”
คำตอบคือ “ไม่มีใครที่ลากเส้น Trend Line ผิด” ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นความจริง!! พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นศิลปะ ไม่มีผิด ไม่มีถูก
“การลากเส้น Trend Line ไม่มีกฏ (Rule) ตายตัว มีแต่ข้อแนะนำ (Guideline) ให้เป็นไอเดียในการฝึกลากเส้น Trend Line เพื่อใช้ในการเทรดจริง”
ข้อแนะนำในการลากเส้น Trend Line จะมีหลักการลากกันประมาณนี้ครับ
- ก่อนลากเส้น ควรมองภาพใหญ่แนวโน้มให้ออกก่อน
- ควรลากเส้นสัมผัสระหว่างจุดต่ำสุดจุดหนึ่งไปจุดต่ำสุดอีกจุดหนึ่ง สำหรับเส้น Trend Line ขาขึ้น และลากเส้นสัมผัสระหว่างจุดสูงสุดหนึ่งไปจุดสูงสุดหนึ่ง สำหรับ Trend Line ขาลง
- ยิ่งลากเส้น Trend Line สัมผัสจุดได้มากกว่า 2 จุดยิ่งดี เพราะยิ่งจุดสัมผัสของเส้น Trend Line มากขึ้นก็จะถือว่าเส้นนั้นมีนัยสำคัญ แสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มมากขึ้นด้วย อ่านต่อคลิ๊ก
EP.32 Indicator วิเคราะห์เทรน
Indicator วิเคราะห์เทรน : Indicator คือ เป็นเครื่องมือหรือตัวชี้วัด ที่ช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยนำข้อมูลดิบอย่างราคาหรือปริมาณการซื้อขาย มาคำนวณด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์หรือสูตรทางสถิติที่คิดค้นขึ้น ซึ่งแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของ Indicator แต่ละตัว
Indicator ที่นิยมใช้กันในตลาด Forex มี 2 ประเภท หลักๆ คือ
- Trend (แนวโน้ม)
- Oscillators (การแกว่งตัว)
Indicator ประเภท Trend จะใช้งานได้ผลดีในช่วงที่ “ตลาดเป็น Trend” ไม่ว่าจะเป็นทิศทางขาขึ้น หรือ ขาลง แต่จะได้ผลไม่ดีนักหากตลาดช่วงนั้น Sideway (ไม่มีแนวโน้ม) เพราะจะเจอสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง
และ Indicator ประเภท Trend มีหลายตัว และที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ “Moving Average” หรือ “เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่” ซึ่งเป็นการนำราคาย้อนหลังตามจำนวนที่ต้องการมาหาค่าเฉลี่ย อ่านต่อคลิ๊ก
EP.33 Price Action : Pin Bar
Price Action : Pin Bar หลังจากที่ผมได้พูดถึงเรื่อง “Price Action” ไปบ้างแล้วในตอนก่อนหน้านี้ เลยขอนำเรื่อง “Price Action” มาพูดให้ฟังกันสักหน่อย ปกติแล้วเรื่องของ “Price Action” มันมีรูปแบบที่เยอะมาก หลากหลายรูปแบบจนจำกันได้ไม่หมด
ในเนื้อหา “PriceAction” ผมจึงจะขอพูดถึงรูปแบบราคาไม่กี่รูปแบบที่นิยมใช้บ่อยอย่าง “Pin Bar” , “Reversal Bar” และ “Engulfing” ให้ฟังก่อนนะครับ ซึ่งรูปแบบทั้ง 3 จะนำมันมาใช้ประกอบการตัดสินใจคู่กับ แนวรับแนวต้าน หรือ Indicator อื่นด้วย (ขึ้นอยู่กับแต่ละกลยุทธ์)
สำหรับตอนนี้จะขอพูดถึง Pin Bar ก่อนนะครับ
Pin Bar ถือเป็นสัญญาณที่ดูง่าย และค่อนข้างแม่นยำ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้ Pin Bar เป็นสัญญาณสำคัญของ “PriceAction”
รูปแบบของ Pin Bar จะมี 2 ลักษณะตามรูปด้านล่าง คือ “Bullish Pin Bar” และ “Bearish Pin Bar” อ่านต่อคลิ๊ก
EP.34 Price Action : Reversal Bar
Price Action : Reversal Bar ในตอนนี้เรามาดูกันต่อในเรื่องของ “Reversal Bar” ซึ่งเป็น Price Action ที่น่าสนใจรูปแบบหนึ่งที่ใช้ดูเป็นสัญญาณการกลับตัว
การกลับตัวมี 2 แบบด้วยกัน คือ “กลับเพื่อตามแนวโน้ม” และ “กลับเพื่อสวนแนวโน้ม”
จริงๆจะเทรดตามแบบไหน ก็ไม่มีผิด ไม่มีถูก นะครับ มันอยู่ที่กลยุทธ์ที่คุณใช้มากกว่า ว่าคุณต้องการจะเทรดตาม หรือเทรดสวน แต่โดยมากการเทรดตามแนวโน้มจะมีความปลอดภัยกว่า การสวนแนวโน้มมักจะเป็นเรื่องของรายใหญ่ที่มีการวางเงินตามจุดต่างๆ
ส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญการเทรดตามแนวโน้มมากกว่า
รูปแบบ Reversal Bar มีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่ผมจะพูดถึงและใช้งานอยู่เป็นประจำคือรูปแบบตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ อ่านต่อคลิ๊ก
EP.35 Price Action : Engulfing
Price Action : Engulfing เรียกเป็นภาษาไทยว่ารูปแบบ “กลืนกิน” เป็นหนึ่งรูปแบบที่ให้สัญญาณการกลับตัวเปลี่ยนแนวโน้มที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ โดยลักษณะการเกิดคือ
- รูปแบบตลาดจะต้องมีแนวโน้ม (Trend) ก่อนหน้าที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มขาขึ้น (Up trend) หรือ แนวโน้มขาลง (Down trend)
- ตัวแท่งเทียน แท่งที่ 2 จะต้องครอบคลุม แท่งเทียนก่อนหน้าทั้งหมด ยิ่งคลุมมากสัญญาณก็ยิ่งชัดเจน (ไม่จำเป็นต้องคลุมไส้เทียนทั้งหมดก็ได้)
- แท่งเทียน แท่งที่ 2 จะต้องมีรูปแบบการปิดตรงกันข้ามกับแท่งก่อนหน้า
รูปแบบของ Engulfing จะมี 2 ลักษณะตามรูปด้านล่าง คือ “Bullish Engulfing“ และ “Bearish Engulfing” อ่านต่อคลิ๊ก
เลือกโบรกเกอร์จากการจัดอันดับเพื่อเปิดบัญชีเทรด คลิ๊กที่นี่
ช่องทางติดต่อเรา
Facebook : https://www.facebook.com/brokerforexreview
E-Mail : brokerforexreview.com@gmail.com